วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

ตายแล้วไปไหน ??? ตอนที่ 1


มีหลายๆ คนตั้งคำถามดังชื่อหัวเรื่อง และอีกหลายๆ คนสงสัยว่า “เมื่อเราตาย แล้วเราไปไหน ต่อหรือไม่?”

ผมคนนึงที่คิด และเชื่อมั่นว่าตนเองเป็นชาวพุทธ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ปฏิบัติตนที่อยู่ในศีล อย่างจริงจังมากนัก แต่เชื่อมั่นผมได้เลยว่า ผมว่าตัวผมเองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เช่น

เกิดมาผมเคยฆ่า มด เมื่อมันมาเกาะกินอาหาร หรือสร้างความรำคาญ ผมเคย แกว่งมือเพื่อไล่ยุง เวลาที่มันมากัด อาจจะพลาดไปโดน ทำให้เพื่อนร่วมโลก เสียชีวิตก็มีบ้าง ขอยอมรับในความผิดนั้น

ตอนเด็กๆ (ย้ำอีกครั้งว่า เด็กๆ เด็กมากๆเลย)ผมเคยแอบขโมยเงินแม่ เพื่อไปซื้อขนม ของเล่น หรืออะไรที่เราอยากได้ ซึ่งคาดว่า น่าจะมีคนเป็นเหมือนผมบ้าง

ถัดมา ผมไม่เคยผิดลูก ผิดภรรยา ใครเลย เคารพในความเป็น ครอบครัวของทุกๆคนครับ และที่สำคัญ ผมยังรักเดียวใจเดียวด้วย

ผมเคยโกหก เพื่อเอาตัวรอด โกหกเพื่อสนุกสนาน(หรือใครๆเรียกว่า อำ น่ะ) ในหมู่เพื่อนและคนสนิท ซึ่งเป็นไปตามวัย ซึ่งมันจะเพิ่ม และลดลงไปตามวัยด้วยเช่นกัน

สุดท้าย ตั้งแต่เกิดมาจนอายุปูนนี้ ไม่เคยดื่มเหล้าเลย ไม่คิดจะดื่ม ไม่คิดจะลอง ซักครั้งก็ไม่เคย เพราะ พยายามนั่งทบทวนคิดแล้วคิดอีก มันมีประโยชน์อะไร เข้าสังคม? ผมก็เข้าได้ทุกสังคม ไปได้ทุกที่ที่เพื่อนๆ ไป เข้ากับใครก็ได้ สบายๆ ดังนั้นก็ไม่รู้เหมือนกันว่า “ดื่มเหล้าทำไม เพื่ออะไร?” ใครตอบคำถามผมได้ ผมก็จะบอกว่า “เป็นเพียงอ้าง ที่สนับสนุนให้คุณถูกครับ”

ลูกผู้ชาย เมื่อถึงเวลาต้องรับใช้ชาติ แต่ถ้ามีโอกาสต้องบวชเพื่อแทนคุณน้ำนม ผมอาจจะไม่ดีต่อชาติซักเท่าไหร่เพราะดัน ได้ใบดำ แต่เรื่องแทนคุณน้ำนม ผมได้ทำให้แม่ยิ้มแก้มปริมาแล้วครับ

และตอนที่บวชอยู่นั้นเอง ทำให้ได้เรียนรู้สัจธรรมมากขึ้นได้เข้าใจ อะไรๆ ที่สงสัยจนหายไปเป็นปลิดทิ้ง เดี๋ยวมาว่ากันต่อภายหลัง

การทำบุญ? ก็เป็นไปตามสถานการณ์ เวลาโอกาส และแน่นอน บุคคลที่คอยมอบโอกาสในการทำบุญให้แก่ผมก็คือ แม่ของผมเองครับ

โอ๊ะ โอ๋ นี่ผมสารธยายมาซะเยอะเลย ไม่ได้จะมาอวดสรรพคุณตัวเองนะครับ แค่อยากจะบอกว่าผมก็เป็นคนๆนึงที่ คิดว่าตนเองเป็นพุทธศานิกชน คนนึง ที่ดำรงตน ดำเนินชีวิตแบบที่เป็นธรรม(ชาติ) ที่ไม่ได้เบียดเบียนใคร แต่อาจจะไม่เคยนุ่งขาวห่มขาว ห้อยพระ หรือไปเวียนเทียนทำบุญตามเทศกาล เว้นซะแต่ว่าแม่จะชวนไป

กลับมาที่เรื่องประเด็นที่ผมอยากจะแสดงความคิดเห็นที่ผมเชื่อ คือ “ตายแล้วไปไหน ?” เมื่อตอนเด็กๆ ผมคิดว่า “ผีมีจริง” กลางคืนน่ากลัว ความมืดก็น่ากลัว และกลัวผีมาหลอก เหมือนกับทุกๆคนครับ

แต่ผมมีผู้ชายคนนึง ที่คอยแสดงออกให้เห็นตลอดว่า “ผีไม่มีจริง” ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว คนๆนั้นก็คือ พ่อของผมเองครับ

พ่อผมเป็นคนที่ไม่เชื่อเลยเรื่องเหล่านั้น เรื่องภูตผีปีศาจ ไสยศาสตร์ และอะไรแนวๆนั้นเลย เช่น

พ่อผมเคยป่วยหนักมาก ซึ่งลูกๆและเมียคิดว่า ไม่น่ารอดชัวร์ และยังจะมีนกกระปูดตาแดงมาเกาะที่หน้าต่างบ้าน ซึ่งบ้านของผมไม่ได้ตั้งอยู่บริเวณที่จะมีนกอะไรๆ ที่ไม่ใช่นกกระจอก มาอยู่ใกล้ๆ ได้ พอแม่เห็นนกกระปูดมาเกาะหน้าต่าง แม่ก็ใจไม่ดี คิดว่าพ่อผม ตายชัวร์ ตามความเชื่อแต่โบราณ และเขาก็ ทรุดลงๆ

และไม่กี่วันหลังจากที่นกมาเกาะ ในตอนเย็น ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น เปรี้ยงๆ ลองเดาดูซิครับว่าเกิดอะไรขึ้น.......ถ้าจำไม่ผิด พ่อยิงไล่นกครับ แล้วมันก็ไป ไม่กี่วันพ่อก็หาย คนที่เชื่อเรื่องพวกนี้ก็ต้องบอกว่า เป็น ปาฏิหาร แต่พ่อผมบอกว่า กินยาตามหมอสั่ง แล้วรอให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน และนอนพักผ่อนให้เพียงพอเลยหายดี ไม่ได้เกี่ยวกับยิงปืนไล่ นก อะไรนั่นเลย

และมียังมีอีกหลายเรื่องนะครับ เช่น ฉี่รดใส่สายสิญน์ ที่บ้านหลังเก่า(บ้านเช่า – ตอนนั้นอายุของผมยังไม่ถึง 1 ขวบเลยมั๊ง) แม่บอกว่าเวลาพ่อไปทำงานต่างจังหวัด แล้วได้ยิน คนเดินไปมา ประตูปิดเอง หน้าต่างก็ปิด-เปิด พ่อก็เลยจัดการซะ โดยให้เหตุผลการฉี่รดว่า ต้องการทำให้แม่เห็นว่า เขาได้ทำลาย”ของ”ไปแล้ว สบายใจได้ไม่มีอีกแล้วแหละ และวีรกรรม ทำเพื่อเธอของพ่อผมมีเยอะมากๆ จนนำมาเล่าให้อ่านกันไม่หมด ขอจบแค่นี้ก่อน

ผมเชื่อมั่นว่า ผมเป็นคนที่เก่งที่สุดที่เกิดมาได้เพราะว่า ผมต้องเอาชนะเพื่อนร่วมรุ่น อสุจิ ที่มีประมาณ 35 ล้านตัว เพื่อแย่งกันเข้าใปปฏิสนธิในไข่ที่อยู่ในมดลูกของแม่ ผมเชื่อว่าผมมีชีวิตตั้งแต่อยู่ในตัวพ่อ เพราะผมเคลื่อนที่ไปมาได้ และยังจำความรู้สึกตอนนั้นได้ว่าเพื่อนร่วมรุ่นเยอะมากๆ (ฮ่า ๆๆๆ)

แล้วผมก็ค่อยๆ เจริญเติบโตในครรภ์ โดยได้รับอาหาร การเอาใจใส่ ความอบอุ่น จนได้รับโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต ออกมาลืมตาดูโลก

ผมก็กินนมแม่บ้าง นมผงบ้าง นมมะลิละลายน้ำร้อนบ้าง (ยามที่ขัดสน แม่บอกอย่างนั้น)

พฤติกรรม รวมทั้งความคิดก็ถอดแบบออกมาจากผู้ที่เลี้ยงดูอย่างใกล้ชิด จะไปเหมือนคนอื่นเป็นไปไม่ได้ การกิน การเดิน การพูด ความคิด ก็คงไม่พ้นแม่ ที่มีเวลาอยู่กับผมมากกว่าพ่อ และความกลัวผีก็มาจากแม่นี่แหละ(ขออนุญาติ โทษแม่ครับ)

แต่พ่อคือ ฮีโร่ คือสุดยอดมนุษย์ คือทุกๆอย่าง เข้มแข็ง ทั้งร่างกายและจิตใจ ปกป้องลูกจากอันตราย อบอุ่นใจว่าปลอดภัยแน่นอนถ้าพ่ออยู่ใกล้

พ่อเคยถูก งูเขียวหางไหม้กัดที่ขา แล้วเขาก็มานั่งรัดขาเอง ขับรถเองโดยมีผมนั่งไปข้างๆ ขับจากสมุทรปราการ ขับไปที่โรงพยาบาล จุฬาฯ โดยที่เขามาเล่าให้ฟังภายหลังว่า ปวดขามาก แล้วขาก็ชา ตาก็พร่าเบลอ เดินก็ไม่ไหว แต่ก็ทนเอาพอไปถึงโรงบาล จำได้ว่า ขาของพ่อผม สีออกเขียวๆ ม่วงๆ ปากเขาก็ซีดๆ ผมเลยได้เรียนรู้จากพ่อว่า จิตใจ หรือความคิดที่เข้มแข็งของเราเป็นตัวกำหนดทุกๆอย่างของเราเช่นกัน

ผมเคยกลัวที่มืดมากๆขนาดนอน ห้ามปิดไฟ พ่อก็มาอธิบายว่ากลัวอะไรลูก ? กลัวหรือ ? งั้นลองดูนะ เห็นไหมในห้องนอนเรามีอะไรบ้าง (ตอนนั้นเปิดไฟอยู่) ผมก็มองไปก็มี ของต่างๆ แล้วเขาก็ปิดไฟ และถามต่อว่าเห็นอะไรไหม ? แล้วกลัวไหม ? ผมก็ตอบว่ากลัว เขาก็ถามต่อว่า กลัวตรงไหน ผมบอกว่า ตรงมุมนั้นมันน่ากลัว พ่อก็บอกให้คอยมองตรงมุมนั้นไว้นะ แล้วเขาก็เปิดไฟ ซึ่งมันก็ไม่มีอะไร แล้วเขาก็ปิดไฟ แล้วก็เปิด แล้วก็ปิด

ซึ่งผมก็ เห็น และไม่เห็น สลับกันไป ซึ่งก็คือกลัว และไม่กลัว สลับกันไป นั่นเอง พ่อจึงบอกว่า ที่ผมกลัวไม่ใช่ผี และไม่ใช่ความมืด แต่ที่ผมกลัวคือ

“ผมไม่รู้ว่าอะไรอยู่ตรงนั้น” ต่างหาก ถ้าผมรู้ก็คือผมเห็น เมื่อเห็นก็ไม่กลัว แสดงว่าผมกลัว เพราะไม่รู้ เลยจินตนาการไปบนความคิดที่อ่อนแอ ที่ถูกสอนมาให้เชื่อ หลังจากนั้นผมก็ไม่กลัวความมืดอีกเลย ไม่ว่าจะที่ไหนๆ เพราะว่าผมจะใช้สติ พิจารณาว่า มันคืออะไร แล้วค่อยมาตัดสินใจบนพื้นฐานของความเป็นเหตุเป็นผลอีกทีว่ามันเป็นอะไร

งั้นถ้าถามผมว่าผีมีจริงไหม? ก็ตอบไปได้ทันทีว่า ในส่วนตัวที่ผมเชื่อนั้นผีไม่มีจริง ถ้าอย่างนั้นกล้าลองไหม ก็ตอบได้ว่าไม่ลอง แต่ไม่กลัว และไม่อยากเสียเวลาเพราะว่า ไม่รู้ว่าลองทำไม เพื่อประโยชน์อะไร ?

ผมบวช ที่ต่างจังหวัด ต้นตาลมากมาย มีเรื่องเล่าเรื่องผีเปรต คนตาย 7 วันจะมา และอื่นๆอีกสารพัด

กุฏิของผมเป็นแบบยกพื้นสูง ด้านล่างใช้เป็นที่ตั้งศพ ถ้าโรงฌาปณกิจใหญ่ไม่ว่าง วันไหนมีศพมาตั้ง หมาก็จะหอนกันเกรียวทั้งคืน พระที่บวชด้วยกันที่เป็นคนท้องที่ก็วิ่งมาเคาะห้องขอนอนด้วย ผมก็บอกว่ากลัวผีเหรอ กลัวทำไมไม่มีอะไรหรอก หมามันหอนเพราะว่ามันนอนไม่หลับ ตีสามแล้ว ญาติคนตายยังนั่งเล่นไพ่อยู่เลย บางคนก็ขี่ มอเตอร์ไซค์ ไปซื้อของกิน เป็นอย่างนี้ทั้งคืน หมามันจะไม่หอนได้ไง มันต้องการบอกว่า

“กรูง่วงแล้ว อยากนอน”ก็แค่นั้น

แล้วก็ตอนที่เขาเอาศพเข้าเตา เพื่อเผาผมก็ไปยืนดูตั้งแต่เริ่มไหม้เสื้อผ้า จนผิวหนัง กล้ามเนื้อ เส้นเอ็นกระตุก ปากจะค่อยๆอ้าออกจากกัน แบบว่า ถ้างออกมาด้านหลังเลยทีเดียวแขนก็ค่อยๆงอ หน้าอกค่อยๆละลายจนซี่โครงโผล่ เห็นเครื่องใน และก็มีเสียงระเบิดของเครื่องในบ้าง ดัง ปุๆ

เห็นมากับตาสองตานี้เลย เล่ากี่ครั้งก็เล่าได้ ตอนนั้นมันรู้สึกเลยว่า “ปลง” สังขารของคนเรา มันมีแค่นี้เองเหรอ เกิด แก่ เจ็บ ตาย (บางคนก็บอกว่า ก็มีวนเวียนอีกไม่รู้จักกี่ภพ กี่ชาติ) ผมมองดูร่างนั้นค่อยๆมอดไหม้ แต่ไม่ได้ดูจนเป็นเถ้าถ่านหรอกครับ เพราะว่าตอนนั้นรู้สึกได้ว่า หน้าและจีวร เริ่มจะสกปรกไปด้วยควันและเขม่าจากการเผาไหม้ศพแล้ว เลยบอกสัพปะเหร่อให้ปิดฝาตู้ของเตา แล้วก็ไปล้างหน้า

ขออภัยแค่นี้ก่อน เดี๋ยวมาต่อคราวหน้านะครับ

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

ก้าว ก้าว หนึ่ง หรือ ก้าว ก้าว แรก


นี่เป็น Blog แรกในชีวิต ก็เคยได้เข้าไปอ่าน Blog ของคนอื่นๆมากมาย ทั้งเกี่ยวกับส่วนบุคคล หรือ เกี่ยวกับความรู้ทางด้านเทคนิคต่างๆ ความใฝ่ฝันอันสูงสุดคือ อยากทำ Blog ที่เป็นแหล่งรวบรวมความรู้ ทางด้านเทคนิคเกี่ยวกับงานที่ทำอยู่ แต่มานั่งนึกดูแล้ว ก็ไม่อยากจะตีกรอบ ครอบสมองของตัวเอง ควรจะปล่อยให้มันไหล พรั่งพรูออกมาประหนึ่ง โอ่งแตก รอบๆตัวจะได้เจิ่งนองไปด้วยความหลากหลาย

ถ้าอย่างนั้นก็คงจะปล่อยให้มันเป็นไปแล้วกันว่า รูปแบบ หน้าตา Blog หลังจากวันนี้จะเป็นอย่างไร

แต่ที่สำคัญ จะพยายามตั้งใจครับ

ไม่มีใครอ่านเดี๋ยวมาอ่านเองก็ได้

ขอบคุณทุกกำลังใจ ขอบคุณความรัก ที่ทำให้รู้ว่าความสุขแบบเอ่อล้นเป็นอย่างไร ขอบคุณ